วันเสาร์ที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556


สถาปนิก Idol
พี่อนุชล (สถ.รุ่น 10)
ณ บริษัทคอนทัวร์ จำกัด พัฒนาการซอย 9-11


หนึ่ง : เริ่มละกันเลยนะครับ ก็พี่น้ำน้อยเรียนจบจาก สถ. ลาดกระบังปีไหนอะครับ?
พี่น้ำน้อย : ปี 2500…. ผมเข้าปี 21 อะ เข้าปี 21 ก็จบประมาณ 26

หนึ่ง : ละตอนนั้นคือเค้านับเป็นรุ่นรึยังอะครับ?
พี่น้ำน้อย : รุ่น 10 ตอนนี้รุ่นที่เท่าไหร่

หนึ่ง : ตอนนี้ผมรุ่น 37 ครับ
พี่น้ำน้อย : อืมม

หนึ่ง : (หัวเราะ) พอจบแล้วทำงานหรือต่อโทที่ไหนไหมครับ?
พี่น้ำน้อย : ผมจบแล้วผมไปทำงานที่บริษัทมาคอน เป็นบริษัท Architect ทำอยู่ปีนึง ละก็ไปนั่งเขียน Perspective อย่างเดียวอีกปีนึง ไม่สิ 3-4 ปีอะ คือรับเขียน Perspective ประมาณ 3 ปี

หนึ่ง : อ๋อ แล้วคือแบบนี้ก็ไม่ได้รับทำงานออกแบบอะไรเลยหรอครับ รับเขียนตีฟอย่างเดียว?
พี่น้ำน้อย : เขียนตีฟอย่างเดียวออกแบบนิดหน่อย ส่วนใหญ่คือเขียนตีฟ เพราะว่ามันมีคนจ้างเขียนตีฟเยอะก็เลยไม่ได้ไปยุ่ง แต่จริงๆเวลาเราเขียนตีฟอย่างเดียวเลยคือมีข้อดีอย่าง คือเราได้ฟังบรีฟเวลาเราเขียนตีฟอะไรเนี่ย เค้าก็จะบรีฟคอนเซปว่าอันโน้นอันนี้เป็นยังไง แต่ความรู้สึกเราคือเราก็รู้สึกอยากจะออกแบบตลอดเวลา เพราะว่าปกติเนี่ย คือตอนเราผมเป็นคนชอบออกแบบ แต่ตอนที่เราเขียนตีฟเนี่ย ทุกวันเราก็ยังคิดว่า ถ้าเกิดเราจะสร้างบ้านตัวเองเนี่ย เราจะออกแบบยังไง คือมันจะมีจินตนาการในการออกแบบบ้านเราทุกวัน แต่ว่าหนังสือในพวกสมัยก่อนมันไม่มีเว็ปไซต์ เราก็ต้องซื้อหนังสือพวก Interior Design Architecture Digest อะไรพวกนี้มาดู มาดูบ้านในฝัน บ้านและสวน ก็คือจะตามข่าวสารไปเรื่อยๆ และก็พอเขียน Perspective ก็พอมีรุ่นพี่เรา พี่ที่เป็นประธานโรงพยาบาลศีลแพทย์ ที่เป็นเจ้าของโรงบาลศีลแพทย์ เอ่อ ตอนนั้นเค้าเคยจ้างผมทำงานเขียน Perspective ตั้งแต่ผมเรียนปี 2 แล้วก็ผมมันมีอยู่ช่วงนึงผมอยากมีบริษัท อยากมีออฟฟิตเป็นของตัวเอง ผมก็เลยไปชวนเพื่อนมา Interior  2 แล้วก็มีผมเป็น 3 คน แล้วก็มีพี่คนนี้อีกคนนึง ไปเช่าตึกแถวชั้นล่างทำออฟฟิตกัน แต่ว่าออฟฟิตเนี่ย คือเป็นเจ้าของ 4 คนต่างคนต่างทำนะ แต่ว่าผมก็มีลูกน้อง 1 คน นอกนั้นก็มีลูกน้องคนละ 1 คน ออฟฟิตนี้เลยมี 8 คน 9 คนเพราะจ้าง Admin ไว้ 1 คน ก็เลยดูเหมือนเป็นออฟฟิตหน่อย

หนึ่ง : แล้วก็คือเริ่มต้นทำงานออกแบบแล้วใช่ไหมครับ?
พี่น้ำน้อย : เริ่มต้นทำงานออกแบบแล้ว แล้วที่โน่นก็ไปออกแบบโรงแรม South Sea ที่ภูเก็ตเป็นรีสอร์ท อันนั้นเป็นช่วงแรกๆ ละก็ทำออกแบบหมู่บ้านสินธานีอยู่แถวนวมินตร์ และก็เลยกลายเป็นว่าทำไปทำมา ผมกับพี่คนนี้ก็คือเหมือนกับทำงานด้วยกันตลอด โดยที่เค้าเป็นเจ้าของ Property คือเค้าเป็นเจ้าของโครงการ ผมเป็นสถาปนิก แล้วก็ทำไปได้ซักประมาณปี 30 ผมกับแกก็เลยเปิดเป็นบริษัทร่วมกัน ชื่อบริษัท Saw Plan ก็ส่วนใหญ่ออกแบบงานที่เกี่ยวกับ Real Estate สมัยนั้นก็ออกแบบ Imperial ลาดพร้าว โรงพยาบาลศีลแพทย์ โรงพยาบาลวิภาวดี นอกนั้นก็จะเป็นโครงการที่เป็นหมู่บ้านของบริษัทสินธานี แล้วก็คอนโดนิดๆหน่อยๆ

หนึ่ง : แล้วพี่น้ำน้อยมาอยู่ที่ Contour นี้ได้ยังไงอะครับ?
พี่น้ำน้อย : ตอนนี้ผมยังไม่มา Contour ตอนนี้แค่ปี 38 ยังไม่ถึงปี 40 เลย พอมาตอนปี 40 เนี่ยมันก็มีปัญหาเรื่องต้มยำกุ้ง ฟองสบู่แตกกัน ทุกโปรเจคที่ทำคือแบงค์ก็ไม่ปล่อยเงินให้แล้ว บริษัทก็ต้องหยุด บริษัทออกแบบเนี่ยก็ต้องหยุด แต่ผมเป็นกรรมการบริษัท Real Estate คือเป็นกรรมการบริษัท มันก็มีหน้าที่เกี่ยวกับดูแลโครงการ แล้วก็ดูเรื่องการตลาด ดูเรื่องการขาย ก็ต้องแก้ปัญหาอันนั้นไป ตอนที่ปี 40 ก็แก้ปัญหาไปถึงประมาณปี 45 ก็ขี้คา แต่ว่าก็เหนื่อยอะมันต้องปะทะกับลูกค้า 300 กว่ารายที่เป็นลูกค้าที่จ่ายเงินมาแล้ว แต่เค้ายังไม่ได้บ้าน เราก็ต้องไปแก้ปัญหาให้เค้า คือทางเลือกมีสองทางคือ เค้าก็มีโอกาสได้บ้าน หรือไม่ก็คือได้เงินคืน แต่ถ้าเราไม่ทำต่อ เราก็โดนฟ้องล้มละลายไป แต่ทุกคนก็ไม่ได้อะไรไป แต่ผมในฐานะคนทำงานไม่ใช้เจ้าของกิจการ ผมก็เห็นสภาพนี้ผมก็คิดว่า เราต้องช่วยเค้า เราต้องช่วยทั้งคู่คือลูกค้าที่จ่ายตังค์มาแล้ว เค้าก็ต้องได้บ้าน ส่วนเจ้าของโครงการก็คือพยายามช่วยเท่าที่เราช่วยได้ เพราะเราเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องกัน แก้กันจนปี 45 ก็โอเค หลังจากนั้นก็มาอีกรอบนึงเป็นบริษัทออกแบบ แต่บริษัท Saw Plan นี่ก็จบไป พนักงานก็โดนเลิกจ้าง คอมพิวเตอร์ที่เรามี เราก็จ่ายค่าชดเชยเป็นอุปกรณ์ไปหมด คือเราไม่มีเงินแล้ว ก็คือจบไป รอบที่สองก็คือบริษัท A Architect ก็เริ่มออกแบบโครงการโรงพยาบาล แต่เราไม่อยากใช้ชื่อบริษัทเดิม เพราะมันจะมีปัญหาเกี่ยวกับชื่อเรื่องปี 40 แล้วก็มาออกแบบโรงพยาบาลอมตะ เสรีรักษ์ตรงสุขา 2 ออกแบบโรงพยาบาลสุขุมวิทข้างวันธาตุทอง โรงพยาบาลรามคำแหง ส่วนใหญ่ก็คือทำโรงพยาบาล แต่ตอนที่เราออกแบบเราก็ต้องบริหารงานในสำนักงานด้วย เราก็ต้องดูแลโครงการที่ทำอยู่ด้วยพวกโครงการสินธานี คือออกแบบและดูแลไปด้วย เราแค่ออกแบบแล้วให้เด็กไปทำต่อจนจบ ก็ทำอย่างนี้จนปีช่วงหลังๆบริษัทเราก็มีธุรกิจเช่า Apartment ปัจจุบันใช้ชื่อว่า สินสิริ มันเป็นห้องเช่า แล้วตอนหลังก็มาเปลี่ยนเป็นมีรายวันรายเดือน ต้องไปช่วยเค้าดูแลด้วย ก็มีคนชุดนึงดูแล แต่เราก็ต้องคอยไปบริหารจัดการให้เค้า คือหน้าที่ก็คือว่าเราต้องวิเคราะห์ให้เค้า ว่าแต่ละโปรเจคเนี่ยเป็นยังไง จะต้องทำอะไร ก็คือเหมือนเป็นผู้บริหารของธุรกิจ ตอนนี้คือผมออกแบบ ดู Real Estate ดูแลธุรกิจเช่า 3 อย่างแล้วนะมันเยอะละ แต่เวลาผมทำจริงๆคือ เราบริหารเราก็ต้องทำเองด้วย Excel เราก็ใช้ CAD ก็ใช้เยอะแยะไปหมด ตอนหลังก็เริ่มมาอีกที มันก็จะมีตึกแถวที่ไม่ได้ใช้งาน เค้าก็คิดเอามาทำร้านอาหาร ผมก็เลยกลายเป็นผู้บริหารร้านอาหาร ชื่อร้านเชิงตะวัน เมื่อก่อนเชื่อทานตะวัน ก็บริหารกันไป กลายเป็น 4 อย่างละ พอมาคุยกันอีกที พี่เค้าก็เริ่มบอกว่า พี่อยากทำเซเว่น ผมเลยตอนหลัง 2-3 เดือน ตอนนี้ผมทำ 4 อย่างมันมีอย่างเดียวที่ผมคิดว่าโอเค คือการออกแบบ แต่ว่า Property ทำร้านอาหาร ทำเช่า พวกนี้มันเป็นงานที่แบบคือมันเป็นงานค้าขาย ซึ่งมันไม่ใช่ค้าขายเรื่องการออกแบบ เราออกแบบเอง ทำเอง คิดเอง พัฒนาการของเราผมคิดว่ามันคงไม่ใช่ในทิศทางของการออกแบบ แต่พัฒนาในเรื่องของบริหารจัดการ มันก็จะกลายเป็นว่าถ้าเราเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ เราก็ต้องหยุดออกแบบ เราก็เลยบอกพี่เค้าว่า ผมว่ามันไม่ใช่แบบผมแล้วละ มันไกลเกินไปแล้ว คือผมจบ Architect มา ผมเลยบอกเค้าตรงๆว่าผมจะไปหาที่ใหม่ทำงาน แต่จริงๆคือผมได้ที่ทำงานแล้ว เพราะมีคนโทรมาถาม แล้วเราก็โทรไปถามเพื่อนที่เป็นเจ้าของ I760 ว่าสถาปนิกรุ่นผมเนี่ย เดี๋ยวนี้เงินเดือนมันเท่าไหร่แล้ว มันก็เลยไม่ได้พูดอะไร มันก็เลยบอกผมว่าผมสนใจไหม ถ้าสนใจมันจะชวนผมไปทำ ผมก็เลยไปทำที่นั่น แต่ก่อนที่จะจบเนี่ยผมก็ไปเรียนปริญญาโท ตอนที่งานที่บริษัทสินธานีก็เรียนปริญญาโทที่ Eastern Asia เรียนตอนปี 51 ตอนผมเรียนผมจำได้ว่าผมอายุ 50 แล้วละ ผมจบริญญาโทตอนอายุ 51 ได้แล้วมั้ง แต่ตอนเรียนปริญญาโทตอนอายุมากๆมันมีข้อดีคือ เรามีประวัติด้านการบริหารมา แล้วพอเราไปเรียนบริหารอีก ไอคำถามที่เคยถามตัวเองมันมีคำตอบอยู่ในกระดาน แล้วก็เลยเอามาใช้กับการบริหารงานปัจจุบัน เริ่มแนะนำให้เค้าใช้ระบบ Time Sheet มีกรวิเคราะห์ต้นทุนของแต่ละโปรเจค ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ผมคิดว่ามันน่าสนใจจากการเรียน จริงๆผมว่ามันใช้ประโยชน์ได้เยอะ แล้วมันก็จะทำให้เราเข้าใจในแง่ของการทำงานมากขึ้นนอกจากเป็นสถาปนิก เพราะในความเป็นจริงทุกอย่างมันเป็นธุรกิจ ธุรกิจไม่เกิดสถาปนิกก็ไม่มีงานทำ เพราะนั้นถ้าเราไม่เข้าใจธุรกิจ ก็เหมือนกับเราเข้าใจตัวเราเองอย่างเดียว แต่มันไม่ตอบสนองความเป็นจริง คือในแง่ธุรกิจ ทำไมมันต้องเกิดบริษัทออกแบบ ถ้าสมมุติว่าตอนนี้เรานั่งทำงานออกแบบอยู่ที่บ้านเป็น Freelance อยู่คนเดียว มีงาน 2 งาน 3 งานก็ยังพอทำคนเดียวได้ แต่ถ้าเกิดงานมันใหญ่ขึ้น เราก็ทำคนเดียวไม่ได้แล้ว ทำคนเดียวมันไม่เสร็จมันไม่ทัน เราก็ต้องหาคนมาเพิ่ม พอหาคนมาเพิ่มเหมือนค่าใช้เพิ่ม แต่ว่าค่าใช้จ่ายที่เพิ่ม มันก็ทำให้รายได้เพิ่มด้วย คือทุกคนที่จ้างเข้ามาเพิ่มเนี่ย คือมันมีการจ่ายค่าใช้จ่าย และมีรายรับที่เพิ่มเป็นเป้าหมายในการจ้างคนเพิ่ม ถ้าเกิดไม่จ้างคนเพิ่ม รายได้ก็ไม่เพิ่มโดยธรรมชาติ นัยความหมายมันง่ายๆ แต่พอมันเพิ่มมากๆมันก็เริ่มจะเป็นองค์กร พอมันเป็นองค์กรมันก็ต้องมีฝ่ายบุคคล เก็บเงินก็ยุ่งก็ต้องจ้างคนมาเก็บเงิน ต้องหารบัญชีมาดูว่าขาดทุนหรือกำไร มันก็เป็นวงจรแบบนี้ ภาษาธุรกิจคือ PDCA หมายถึง Plan Doing Checking Action คือต้องมีการวางแผนคือ Organize และมีวิธีควบคุมการทำงานว่าเป็นยังไง พอเราควบคุมได้แล้ว เราก็ต้องมาเช็คว่างานที่ทำออกมาเป็นยังไง คุณภาพแค่ไหน แล้วเราก็มาหาวิธีการปรับปรุงแก้ไข ถ้าทำอย่างนี้ตลอดเวลา องค์กรเราก็ต้องดีเพราะงั้นเนี่ยมันเป็นเบสิกในแง่ของการบริหารจัดการ ส่วนใหญ่ที่เราเรียนสิ่งที่เราขาดคืออันนี้แหละ ตอนสมัยเรียนเนี่ย ถ้าคุณจะเอา Artist นะ ตอนสมัยเรียนผมก็ว่าผม Tist อะ


หนึ่ง : (หัวเราะ)
พี่น้ำน้อย : จริงๆตอนทำงานแรกๆเนี่ย ใครอย่ามาพูดเรื่องเงินกับผมนะ ผมไม่เอา ผมไม่รู้ คือไม่อยากคิดเรื่องเงิน เพราะเราไม่มีความรู้ ตอนแรกเราไม่อยากคิดเรื่องเงินเพราะคิดว่าเดี๋ยวมันจะทำให้เราทำงานไม่ได้ แต่ความจริงมันไม่ใช่ แต่เป็นเพราะผมไม่รู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เราทำวันนี้คือมันเกี่ยวกับเรื่องเงิน แต่ความที่เราไม่รู้เพราะว่าเราไม่ได้เรียน จึงทำให้เราไม่สามารถคิดได้ว่าเราควรจะทำยังไง แต่พอเรารู้เราก็ยอมรับว่าเรื่องเงินมันคือธุรกิจ มันมีผล ต้องให้ความสำคัญกับเรื่องเงิน เพราะนั้นถ้าคุยจะทำให้มันประสบผลสำเร็จมันก็ไม่พ้นเรื่องเงิน แต่ใช้เงินอย่างให้มีศิลปะ คือไม่ได้ใช้แบบอะไรก็ทำ เหมือนเราทำตึก 4 ด้านเราคงไม่เอาเงินใส่พื้นที่ทั้งที่ 4 เท่ากันทุกด้านหรอก ด้านหน้าอาจจะมากที่สุด ด้านข้างอาจจะน้อย ด้านหลังอาจจะน้อยที่สุด แต่ในตึกที่มันสร้างไม่มีตึกไหนที่ไม่แข่งกับตึกอื่นในแง่ของธุรกิจหรอก สมมุติว่าเราทำตึกแบบเดียวกัน เวลาคุณขาย ตารางเมตรละ 50,000 อีกตึกก็ต้องขาย 50,000 หรือไม่ก็ต่ำกว่าเราถึงจะแข่งกับเค้าได้ เราถึงจะชนะ ดังนั้นคุณจะทำยังไงให้ธุรกิจเค้าไปได้ ถ้าคุณจะขายให้ได้ไม่เกิน 50,000 ค่าก่อสร้างคุณก็ต้องไม่แพงกว่าเค้า มันก็เป็นโจทย์เรื่องเงินโดยเฉพาะเลยนะ เพราะงั้นไอวิธีที่เราจะใช้ เราจะใช้มันยังไง สมมุติหมู่บ้านจัดสรร ทำไมทุกบ้านต้องใช้หลังคาซีแพค เราใช้กระเบื้องลอนได้ไหม แต่ที่อื่นเนี่ยเค้าใช้กระเบื้องพื้นเป็นไม้ลามิเนตสมมุตินะ กระเบื้องก็เพลนๆ ผมเปลี่ยนจะกระเบื้องไม้เป็นไม้จริง บันไดให้มันดีขึ้น พื้นดีขึ้น คือมันก็จะเกิดความแตกต่าง แต่ราคามันก็จะเท่ากัน เวลาซื้อมันก็จะเกิดความเปรียบเทียบว่าคุณชอบบ้านแบบไหน ถ้าคุณอยากอยู่สบายอยู่เท่ห์อยู่มันส์คุณก็ต้องซื้อบ้านหลังคากระเบื้องลอน ก็คือมันก็เหมือนกับวิธีการที่มันเกี่ยวกับเงิน เพราะงั้นมันก็เป็นคอนเซปอย่างนึงที่เราควรจะฝึกคิด ผมพูดอะไรที่มันเกิดขอบเขตรึเปล่าเนี่ย (หัวเราะ)

หนึ่ง : (หัวเราะ) ออ ไม่ครับไม่ครับ แล้วแบบนี้เวลาพี่น้ำน้อยปฏิบัติวิชาชีพเนี่ย มันมีอะไรที่เป็นอุปสรรคนอกเหนือจากเรื่องงานที่ต้องรับมาบริหารมันเยอะเกินไป มีปัจจัยอย่างอื่นไหมครับ?
พี่น้ำน้อย : งานออกแบบเนี่ยนะ ผมว่ามันมีตัวที่ ควบคุมไม่ได้มากๆเลยในงานส่วนใหญ่ มันคือ กฏหมาย เรื่องกฏหมายเนี่ยมันเป็นประเด็นที่หาข้อสรุปยาก เพราะคนที่จะใช้ข้อกฏหมายเนี่ยมันไม่ค่อยชัดเจนเท่าไหร่ แต่ไม่ใช่ว่าทุกตึกนะ บางตึกข้อกฏหมายมันก็ง่ายชัดเจน เหมือนทำแฟลท ทำอพาร์ทเม้นทำบ้านเนี่ยมันง่าย แต่ลองมาเป็นประเภทที่มันซับซ้อนในเรื่องของขนาด เรื่องข้อจำกัดเกี่ยวกับที่ดิน บางทีเค้าก็ไม่สามารถจะตอบได้ว่าหรือไม่ได้ ในกรณียกตัวอย่างเช่น เค้าบอกว่า ที่ดินที่จะสร้างอาคารขนาดใหญ่พิเศษได้เนี่ย มันต้องติดถนนเมนสาธารณะกว้างไม่น้อยกว่า 16 หรือ 18 เมตรเนี่ยแหละ โดยมีหน้าที่ดินไม่น้อยกว่า 12 เมตร อย่างน้อยนะ เมื่อก่อนผมเคยโดนด่าแม่เพราะว่า มันมีคลองมาคั่น คือคลองมันคั่นอยู่ตรงถนน แล้วมันจะทำยังไง ในแง่โฉนดคือมันไม่ติดที่ดิน แต่ในงาวิธีการใช้งานคือมันติด เพราะนั้นเค้าก็จะตอบว่าทำไงก็ไม่รู้ เราทำแบบไป 2 ปี ไม่มีคำตอบจนเจ้าของโครงการด่า แล้วอีกเรื่องคือกฏหมายสิ่งแวดล้อม มันก็ไม่ได้บอกว่าคุณต้องทำอย่างนี้ทำอย่างนั้น แต่มันก็จะมีคณะกรรมการตรวจ คือผมคิดว่ามันเลยกลายเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยุ่งยาก เพราะว่าในเวลาที่เราจะออกแบบ ไม่ใช่ว่าอยู่ดีๆเราจะออกแบบ เราต้องเอาพวกนี้แหละ มาเป็น Requirement อันนึงในการออกแบบ แต่นอกนั้นมันเป็นเรื่องของเรากับ Owner ซึ่งมันเป็นเรื่องที่เรายังคุยกันได้ คือจะสร้างเล็กสร้างใหญ่ มีเงินมาก มีเงินน้อย ยังไงมันก็ยังคุยกันได้ แต่ไอเรื่องข้อกฏหมายมันเป็นเรื่องยาก


หนึ่ง : แล้วพี่น้ำน้อยมีข้อคิดสำคัญในการทำงานอะไรบ้างครับ?
พี่น้ำน้อย : เอ่อ ผมชอบคิดอย่างนี้ว่า การทำงานคือ ผมชอบสอนน้องสมัยก่อนนี้ว่า การเป็นพนักงานคือการเป็นเถ้าแก่ที่มีรายได้แบบการันตี คือคุณจะได้ทุกเดือน คือถ้าคุณได้ 50,000 คุณก็จะได้ 50,000 ทุกเดือน แต่ผมอยากให้คุณคิดแบบเถ้าแก่ว่า คือคุณต้องคิดว่าคุณหนะมีรายได้ 50,000 บาท เนี่ยมันคือต้นทุน คุณต้องคิดว่าคุณต้องทำงานให้มันมีรายได้เท่าไหร่ มันถึงจะ Cover 50,000 สมุมติว่าเดียร์ (ผู้สัมภาษณ์ร่วม) ดีไซน์ห้องน้ำเนี่ยวันนี้ ถ้ามีคนอื่นมาจ้าง คุณจะคิดเค้าเท่าไหร่ แล้ววันถัดมาเราก็ทำงาน มันไม่ใช่ทุกวันก็ได้นะ มันนับเป็นชิ้น ต่อไปดีไซน์อะไรก็ได้อีกชิ้นนึงแล้วจบ มันจะบอกต้นทุนเงินว่าเรามีเท่าไหร่ แล้วถ้าคนอื่นจ้างอะเท่าไหร่

พี่เดียร์ : เหมือนลง Time Sheet รึเปล่าค่ะ?
พี่น้ำน้อย : ใช่ จริงๆมันคือ Time Sheet เพราะมันจะบอกว่าคุณทำงานโปรเจคนี้กี่ชั่วโมง พอในหนึ่งเดือน เดียร์ก็ไปดูที่เดียร์ทำ ว่าโปรเจคนี้ทำอะไรบ้าง ในแง่ของการคิดค่าใช้จ่าย มันก็คิดตามโปรเจคว่ามันเป็นเงินเท่าไหร่บ้าง เป็นต้นทุน ถ้าคนอื่นเค้ามาจ้างทำแค่นี้มันเป็นเงินเท่าไหร่ คือเงินเดือน 50,000 บาท ก็ต้องทำรายได้ประมาณคูณ 2.5 ก็ประมาณแสนกว่าบาท  ถึงจะอยู่ได้ คือตอบคำถามแบบง่ายๆว่า มีวิธีคิดคือการทำงาน คุ้มกับเงินที่ได้รับ

หนึ่ง : คำถามต่อไปนะครับ พี่น้ำน้อยคิดยังไงกับการออกแบบเพื่อสิ่งแวดล้อม ที่ตอนนี้มันกำลังมาเป็นเทรน พวก Green Design อะครับ?
พี่น้ำน้อย : วันก่อนเนี่ยมีคนมาสัมภาษณ์ผมว่า แนวโน้มของสถาปัตยกรรมเมืองไทยมันจะเป็นยังไง ผมก็ตอบว่า เอ่ย ผมไม่รู้ ผมไม่ตอบได้ไหม คือปกติผมไม่เคยคิดอะไรที่มันล่วงหน้าขนาดนั้น ผมคิดแต่ว่าโปรเจคที่ผมทำอยู่นี้ทำยังไง แต่ว่าในความเป็นจริง งาน Architecture เนี่ยมันสะท้อนมาจากปัญหาสังคมอยู่แล้ว เราก็พยายามไปแก้ปัญหามัน เรากำลังพูดถึง การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เรื่อง Green เรื่อง LEED คือยังไงมันก็ต้องเป็นเทรนต่อไปอีกยาวไกลเพราะว่ามันเป็นเรื่องปัญหาของโลก ไม่ใช่ปัญหาของเราคนเดียว และทุกวันมันก็จะมีกฏเกณฑ์ทำให้เราไปทางนั้นเรื่อยๆ เค้าจะไม่ปล่อยให้คุณสบายๆ อยากทำอะไรก็ทำ ทำห้างก็ใช้ไฟเท่ากับจังหวัด 1 จังหวัด เค้าก็ต้องหาวิธีจำกัด แต่ในอนาคตผมว่ายังไงมันก็ต้องมีกฏออกมา

พี่เดียร์ : คือว่าต้องเตือน ต้องมีแล้วนะใช่ไหมคะ?
พี่น้ำน้อย : ใช่ คุณอาจจะต้องมีว่า คุณจะผลิตไฟเองเท่าไหร่ คุณจะต้องใส่ Solar Cell คือไม่ใช่ว่าจะเอาไปใช้ฟรีๆเยอะๆแบบนี้ได้ตลอด คือเวลาเราจะพูดเรื่อง Architecture แบบง่ายๆเนี่ย มันจะมี 2 แนวโน้มคือ Form กับ Function บางทีเราคุยกันเรื่อง Green กัน ในความหมายของผมมันเป็นกลุ่ม Function แต่กลุ่ม Form มันก็อีกกลุ่มนึง ดังนั้นเวลาเราคุยกัน เราก็จะคุยกันในแนวโน้มทั้งสองด้าน ซึ่งเวลาเราคุยแบบนี้มันก็จะง่ายขึ้น

หนึ่ง : โอเครับ ขอคำถามไม่ค่อยเครียดนะครับ (หัวเราะ) คืออย่างพี่น้ำน้อยเนี่ย จบสถาปัตย์ลาดกระบังมา แบบพี่เดียร์อย่างงี้อะครับ พี่น้ำน้อยมีความคิดเห็นยังไงกับสถาปนิกรุ่นใหม่ๆจบจากลาดกระบัง?
พี่น้ำน้อย : ผมจะยังไม่พูดถึงเด็กที่จบจากสถาปัตย์ลาดกระบังนะ เพราะผมไม่ได้สัมภาษณ์เด็กลาดกระบัง พักนี้ผมสัมภาษณ์เด็กที่จะมาเข้าทำงาน สิ่งที่ผมสนใจที่สุดนะของคนที่จะเป็นสถาปนิกได้ ผมถือว่าเนี่ยวิชาชีพคุณ คำว่าวิชาชีพหมายถึงว่า ถ้าคุณเป็นนักร้อง อาชีพคุณคือเป็นนักร้อง คุณต้องรู้จักดนตรีทั้งหมด ร็อค เร็คเก้ สามช่า คุณถึงจะเป็นนักร้องที่เก่ง มีความสามารถ ร็อะไรหลายๆอย่างที่มันเป็นเรื่องรอบๆตัวที่เกี่ยวกับเรื่องเพลง เรื่องดนตรี ถ้าคุณเป็นนักร้องแล้วบอกว่า จะแต่งเพลงแนวสุนทราภรณ์ ในกลุ่มนักร้องบอกว่า มันเป็นยังไงวะ แนวสุนทราภร์ อย่างงี้หมายความว่าไง หมายถึงว่าไอนี่มันไม่รู้เรื่องเลย ว่าดนตรีมันมีแบบไหนบ้าง Architecture ก็เหมือนกัน สถาปนิกก็เหมือนกัน เวลาเราคุยกัน คำถามที่ผมชอบถามคือ สถาปนิกที่คุณชอบปัจจุบันเนี่ย คุณชอบใคร คือถ้าคุณไม่สามารถที่จะตอบได้ว่าคุณชอบใคร หรือว่าพูดถึงงานใครได้เลย ผมก็ถือว่า คุณไม่ได้สนใจอาชีพของตัวเอง เหมือนเวลาเราออกแบบ คนที่สนใจด้านการออกแบบมันจะพูดภาษาๆนึงออกมา คือชื่อสถาปนิก ถูกไหม สมมุติว่าเราบอกว่าออกแบบบ้านหลังนึง เนี่ยสไตล์คล้ายๆอันโดะ จบไหม (หัวเราะ) เราก็จะรู้เลยว่า อ๋อ มันต้องเป็นแบบนี้ มันต้องมีแสง เป็นกล่องๆ มันง่าย มันเป็นภาษาของเราที่เราจะพูด แต่ถ้าเกิดคุณไม่รู้จัก อันโดะ มันเป็นยังไง เอ้า อธิยบายได้ไหม แล้วอธิบายนานกว่าจะรู้ว่ามันเป็นยังไง มันจะใช้เวลามาก อันนี้มันยิ่งกว่านั้น ถ้าเราบอกว่า เอาอันโดะไปผสมกับแกรี่ ถ้ามันไม่รู้สองคนด้วย มันก็จะยิ่งไปกันใหญ่ เพราะนั้นโดยพื้นฐานคนที่จะเป็น Architect คุณต้องรู้จักเรื่องแบบนี้ มันถึงจะทำให้เราคุยกันง่ายขึ้น แต่มันไม่ได้คุยกันแค่ชื่อ ถ้าเราคุยกันไปเรื่อยๆเราก็ต้องคุยกันเรื่องวิธีการทำงานของแต่ละคน เราถึงจะเข้าถึงตัวเนื้องานมากขึ้น เราถึงจะสนุก ส่วนใหญ่ที่ผมสัมภาษณ์มานะ รู้จักไม่ค่อยเยอะ แล้วก็พอไม่รู้ มันก็ทำให้เรารู้สึกว่าเราไม่ค่อย Happy เท่าไหร่ เพราะมันเหมือนกับว่าเรากำลังจะคุยกันไม่รู้เรื่องแล้ว ในเมืองไทยนี้ บางทีเราดูงาน โหนี่แบบ A49 ทั้งที่ไม่ใช่ A49 ออกแบบ ทำไมเราถึงรู้สึกงั้น เพราะเราห็นแล้วรู้แล้วว่าที่นี่มันเป็นยังไง แต่ภาษาเราถ้าผมคุยกันเองเราก็จะเข้าใจง่ายว่ามันก็จะเป็นแบบนี้ ลักษณะแบบไหน มันเป็นรูปลักษณ์อย่างนึง เพราะงั้นเรื่องนี้มันก็เลยจำเป็น งั้นตอนนี้ผมเลยเห็นว่าตอนนี้ถ้าพูดถึงความสนใจในงาน ในวงการสถาปนิกเนี่ย ยังน้อย แต่ถ้าให้ผมพูดถึงเด็กลาดกระบังเนี่ย ผมยังถือว่าผมให้อยู่ในเรนจ์ที่มันอยู่ช่วงบนๆนะ เพราะบางอย่างแล้วไอวิธีการคิด วิธีการทำงานผมยังคิดว่า เค้ายังมีมากกว่าหลายๆที่นะ คือถือว่าใช้ได้ แต่ว่าข้อเดียวที่ผมไม่อยากให้ทิ้งคือเค้าต้องติดตาม มันต้องตามตลอด คือจริงๆ


หนึ่ง : โอเคคับ ตอนนี้พี่น้ำน้อยอยากให้ทางคณะปรับปรุงอะไรไหมครับ เพื่อให้บัณฑิตที่ออกมามีคุณภาพมากกว่านี้อะครับ แบบว่ามีอะไรต้องแก้ไขเรื่องการเรียนการสอนไหม?
พี่น้ำน้อย : คือในแง่วิชาชีพ การเรียนคณะสถาปัตย์ เรียน สถ. ผมถือว่ามันเป็นเรื่องของวิชาชีพที่สถาบันเนี่ยจะต้องรับภาระที่จะต้องสอน แต่วิธีการที่เค้าจะสอนยังไง มันต้องใช้วิธีการวิจัยพอสมควร แต่ว่าทีส่วนใหญ่ผมเจอคือ เด็กลาดกระบังส่วนใหญ่เรื่องความคิดวิเคราะห์เนี่ยมีเป็นพื้นฐานมากกว่าที่อื่นอยู่ แต่ว่าผมไม่รู้ว่าการที่มีแนวความคิดแบบนั้นเป็นเพราะสิ่งแวดล้อมรึเปล่า สิ่งแวดล้อมหมายถึงว่า เนื่องจากว่ามันมีการสอบเอนทรานส์ การสอบเข้าที่มันมีลำดับที่จะต้องใช้คนที่มีความสามารถสูงกว่าที่อื่นอยู่แล้ว ก็เลยทำให้เกิดสิ่งแวดล้อมในทางบวก หรือว่ามันเกิดจากการเรียนการสอน อันนี้ผมไม่รู้ แต่ว่าโดยภาพรวมเนี่ยเด็กที่จบมาก็ยังเป็นเด็กที่มีแนวคิดในเรื่องของการออกแบบอยู่ ซึ่งอยู่ในเกณฑ์ความคิดผมว่า มันใช้ได้แล้วในความคิดผมง่ายๆพื้นฐาน ใช้ได้แล้วนี่หมายถึงเทียบกับคนอื่นๆ ในมหาลัยอื่นๆ แต่ถามว่า มันน่าจะดีกว่านี้ได้ไหม ผมว่ามันน่าจะดีกว่านี้ได้ แต่ผมคิดว่ามันคงไม่ใช่เรื่องของการเรียนการสอน ผมเข้าใจว่ามันเป็นเรื่องของการสร้างทัศนะคติในการดำเนินชีวิตที่จะเป็นสถาปนิก ว่าเราจะดำเนินชีวิตให้มันมีความเป็นสถาปนิกยังไง เพราะว่าถ้าเกิดว่าเราสถาปนิก มันสนใจเรื่องอาคาร เราจะทำยังไงให้เราสนใจได้ตลอดเวลา เหมือนนักร้อง มันก็เดินร้องเพลงได้ตลอดเวลา เป็นสถาปนิกแต่มันก็ยังเดินร้องเพลงอยู่ แล้วเวลาทำงานก็ไปนั่งออกแบบ มันก็อาจจะทำให้ทักษะบางอย่างน่าจะดีกว่านี้ มันก็เลยยังไม่ได้

หนึ่ง : คำถามสุดท้ายแล้วครับ พี่น้ำน้อย ช่วยเล่าบรรยากาศตอนเรียนให้ฟังหน่อยได้ไหมครับ แบบว่าตอนเรียนมีวีรกรรมอะไรที่มันเด็ดๆไหมครับ?
พี่น้ำน้อย : ตอนเรียนผมว่า ผมเป็นคนที่ทำกิจกรรมเยอะนะ ผมเคยเป็นประธานฝ่ายปกครอง ประธานฝ่ายปกครองสมัยก่อนนี่คือ เป็นคนที่สรรหาประธานเชียร์ แล้วก็เคยพยายามที่จะรื้อฟื้นว่าทำไมเราต้องมีเชียร์ ทำไมเราต้องร้องเพลง เราต้องหาคำตอบให้ได้ ซึ่งเรื่องแบบนี้มันไม่ใช้แค่เรื่องของรูปแบบ มันต้องคิดถึงเรื่องคอนเซป เรื่องวัตถุประสงค์ เพราะนั้นไอตอนสมัยผม ผมก็พยายามหาเรื่องเก่าๆจากรุ่นพี่มาว่า ทำไมถึงจะต้องมีการร้องเพลง ทำไมถึงจะต้องร้องเพลง แล้วทำไมถึงจะต้องร้องเพลงให้มันเหมือนเดิม ทำไมทุกคนต้องร้องเพลงให้มันเหมือนกัน เพราะมันก็คืออย่างเดียวใช่ไหม ที่ทำให้คนใหม่กับคนเก่า แม้จะจบไปแล้ว 20 ปี ก็สามารถมีอย่างหนึ่งที่เหมือนกันคือการร้องเพลงคณะ แต่ว่าพอตอนหลังมันเกิดการเพี้ยน มีการเปลี่ยนแนวเพลงอะไรตามยุคตามสมัย เปลี่ยนได้แต่ผมว่ามันไม่เหมาะกับคณะ นึกออกไหมคุณร้องเพลงเดียวกับผม แต่ร้องด้วยกันไม่ได้ พอมันไม่เหมือนกัน มันเลยทำให้บรรยากาศของความเป็นพี่น้อง มันห่างกันออกไปนิดนึง แล้วเวลาที่คนจบไปแล้ว 20 ปี กับคนจบเมื่อวาน นั่งร้องเพลงแล้วร้องเหมือนกัน ทำได้ไหม เพราะมันเป็นอย่างเดียว เป็นเชือกบางๆที่มันร้อยให้คนยังต่อกันเป็นพวงเดียวกันได้อยู่

หนึ่ง : แต่ว่าถ้าถามผม ผมว่าเรื่องทำนองเรื่องอะไรเนี่ย มันอาจจะแตกต่าง แต่ถ้าเป็นเรื่องเนื้อ เรื่องความหมายของเพลงมันก็น่าจะยังอยู่นะครับ
พี่น้ำน้อย : คือคุณทำให้มันร้องด้วยกันได้ไหมละ คือคุณทำให้คนละรุ่นคนละสมัย คือคุณมีอะไรที่มากกว่าเพลง แล้วคุณทำให้เค้าสามารถที่จะมีกิจกรรมร่วมกันได้ คืออะไร กินเหล้าใช้ไหม (หัวเราะ) กินเหล้าไม่ต้องพูด ใช่ปะ กินเหล้านี่ยังไงมันก็กินได้ มันก็เลยสมัยนั้นรุ่นผมคิดนะ ผมก็เลยคิดว่าจะทำยังไง ผมก็เลยพยายามที่จะกลับมาให้มันเหมือนเดิม เหมือนที่ทุกคนใช้กันอยู่ คือค่อนข้างจะเคร่งครัดในเรื่องของทำนอง แล้วก็เคยสมัยก่อนมันมีภาควิชา เค้าเรียกว่าเทคโนโลยีการก่อสร้าง ซึ่งตอนนี้มันไม่มี แล้วเค้าก็พยายามห่างออกไป เพราะเค้ามองว่าเค้าไม่เหมือนเรา แต่รุ่นผมก็พยายามที่จะทำให้มันกลับมานะ แต่ว่ามันก็ไม่ได้เข้าเชียร์เลยสักครั้งเดียว แต่มันกลับมาหลังจากเรื่องจบไปแล้ว คือผมใช้เวลาในการอธิบายตลอดเวลาที่เค้าไม่เข้าเชียร์เนี่ย ให้เข้าใจว่าทำไมถึงเข้าเชียร์ เราทำไมถึงต้องทำอย่างงี้ทำอย่างโง้น หมดละ

หนึ่ง : (หัวเราะ) หมดแล้วครับ พี่น้ำน้อยมีอะไรอยากจะฝากเด็กรุ่นปัจจุบันไหมครับ ฝากน้องๆอย่างรุ่นผมที่ยังเรียนอยู่?
พี่น้ำน้อย : คือผมอยากให้คิดว่า การดำเนินชีวิตที่จะเป็นสถาปนิกเนี่ยมันจะต้องมีอะไรบ้าง ไปแยกแยะเป็นข้อๆที่ควรจะเป็น อย่าไปทำให้สิ่งแวดล้อมอื่นๆมาครอบงำ แล้วเราก็ไปทำงานสถาปนิก เหมือนกับช่างกระเบื้อง ถ้าไม่มีกระเบื้องให้ปู มันก็ไม่รู้จะทำอะไร คือผมอยากให้เค้าติดตามวงการ หรือว่าแนวความคิดของคนสถาปนิกอื่นๆเนี่ยให้ต่อเนื่องตลอดเวลา ควรจะมีการได้แลกเปลี่ยนความคิดอะไรกันในเรื่องความคิดในการออกแบบเป็นประจำ เจอกันทีไรก็ได้คุยกันเรื่องนี้บ้างซักเดือนละครั้งนะ

หนึ่ง : ออ โอเคครับ ขอบคุณมากนะครับที่กรุณาสละเวลามาให้ผมสัมภาษณ์ ผมจะเอาข้อคิดของพี่น้ำน้อยไปปรับใช้กับชีวิตสถาปนิกในอนาคตนะครับ ขอบคุณมากครับพี่ 

ปล.ขอขอบคุณ พี่เดียร์ สถ.6 ที่ช่วยติดต่อและมานั่งรับฟังการสัมภาษณ์เป็นเพื่อนนะครับ เลี้ยงชาบูๆ :D 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น